อริยสัจภายในจิต

หลวงตามหาบัว ธรรมะชุดเตรียมพร้อม อริยสัจภายในจิต เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๘

จิตใจเวลาเกี่ยวข้อง คือปกตินี่ความเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆอยู่เป็นประจำ เรียกว่าเป็นประจำของจิต เป็นนิสัยของจิต ไม่ได้คิดไม่ได้ปรุงก็อยู่ไม่ได้ ที่ปรุงก็เพื่อเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ ที่ล่วงมานาน ไม่นาน ก็ทั้งวาดภาพ ปรุงแล้วเป็นภาพนั้นขึ้นมา

จิตก็ เพราะอารมณ์นั้นนั่นแหละมาเป็นเพื่อน ความจริงมันก็เป็นทุกข์ ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร ไม่เข้าใจ ไม่รู้ ดีก็ต้องติด ชั่วก็ต้องติด สุขก็ต้องติด ทุกข์ก็ต้องติด เพราะพร้อมที่จะติดภายในจิตใจ ไม่มีทางออก ไม่รู้วิธีที่จะแก้ไข จึงมีแต่ทางติดเพียงถ่ายเดียว เมื่อมีแต่ทางติด ความติดก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์

เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงไม่ว่างจากความทุกข์ มีอยู่ทุกแห่งทุกหน บรรดาสัตว์สังขารที่มีวิญญาณครอง นอกจากผู้ได้หรือไม่ได้ แสดงตัวออกมาอย่างมนุษย์เราไม่ได้ แต่ความรับทราบแห่งความกระทบกระเทือนนั้น ต้องรับทราบด้วยกัน ท้ายสุดมันติด ความติด ความวาด ความคิด ความปรุง หมายนั้น หมายนี้ ล้วนแล้วตั้งแต่จิตหาเรื่องทั้งนั้น

เรื่องของจิตจึงมีมากมายก่ายกอง มากยิ่งกว่าเรื่องใดๆทั้งหมดในโลกนี้ การจะแก้จิตให้มีเรื่องอันน้อยลงไปโดยลำดับ และให้คัดเรื่องๆที่ควรคิดไม่ควรคิด เรื่องที่ควรส่งเสริมและควรแก้ไขดัดแปลงหรือควรลบล้าง เราไม่มีทางทราบได้ มันเป็นอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องได้เรียนให้รู้วิธี

ถ้าเราดูตามหลักธรรมชาติ ธรรมชาติที่กล่าว คือเรื่องของจิตและเรื่องของทุกข์ ที่เกี่ยวข้องกับจิต มันก็ไม่อะไรปิดบัง โลกทั้งโลกทราบกันทั่วถึง เพราะสัมผัสกันทุกแห่งทุกหน ใครอยู่ที่ใดก็ตาม ในน้ำ บนบก บนอากาศ ใต้ดิน เหนือดิน ก็ต้องมีความสัมผัสทุกข์ นรกรับความกระทบกระเทือนจากทุกข์อยู่เช่นเดียวกันหมด เป็นแต่เพียงว่าไม่ทราบวิธีแก้ไขดัดแปลงหรือระงับดับลงไปได้ จึงต้องยอมอยู่กับทุกข์ ทั้งๆที่ใครก็ไม่ปรารถนา ผู้ที่ไม่มีทางทราบเลย ในอุบายต่างๆที่จะหาทางเล็ดลอดออกจากทุกข์นี้ จึงเป็นเรื่องที่หนักอยู่มาก เรายัง ยังดี พวกเราสดับธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งมวล มีแต่อุบายแก้ทุกข์ทั้งนั้นและเป็นหลักที่แหลมคมมากทันกับสาเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ทั้งมวลได้เช่นเดียวกัน นี่เราถึงเรียกว่าได้เปรียบกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย

แม้แต่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่เค้าไม่ได้เข้าใจ ไม่ได้สนใจ กับศาสนธรรมที่ถูกต้องแม่นยำเหมาะสมกับการแก้กิเลส นี่พูดแล้ว ขาดต้นไปไม่ได้ สืบต้นไปยังไง ได้พูดลำดับไปพร้อมๆ แล้วผู้ที่ไม่มีทางทราบเลยนั้น ถ้าเทียบกับเราผู้ที่ได้รับการอบรมศึกษา จึงมีการได้เปรียบกันอยู่มากมาย นี่แหละมนุษย์เราก็มีความต่างกันอยู่เช่นนี้ พอได้เห็นอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้รับการอบรมด้วยอุบายต่างๆจากหลักธรรม ที่ครูบาอาจารย์นำมาสั่งสอนก็ดี ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนก็ดี เราจึงควรถือเป็นสำคัญ

เพราะการเรียนก็เพื่อจะแก้ทุกข์ เพื่อจะรู้สาเหตุ เพื่อจะแก้เรื่องทุกข์ การปฏิบัติก็เพื่อจะถอดถอนทุกข์ตามอุบายที่ท่านได้สอนไว้ ขาดบางจำพวกหรือมีมากจำพวก ไม่มีทางออก ไม่รู้ทางออก จากทุกข์ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น มันเป็นอยู่ภายในกายในใจของสัตว์โลก ที่เราไม่รู้ไม่เห็นมีมากมายก่ายกอง เฉพาะอย่างยิ่งทุกข์ที่เกิดขึ้นจากกิเลส กิเลสพาให้เกิดความทุกข์ ให้กระทบกระเทือนแก่จิต ด้านจิตใจนี้ เป็นแต่เพียงสัตว์โลกจะหาทางแก้ไขกันได้ยากมาก ส่วนมากไม่มีทาง จึงต้องยอมรับกันทั้งโลก เราจะไปโลกไหนก็ไปเถอะ และจะต้องได้ยินเรื่องความทุกข์ความลำบากของสัตว์โลกด้วยกัน ไม่มีบกพร่อง สัตว์ก็มี มนุษย์ก็มี จะเป็นคนชาติชั้นวรรณะไหนก็มี มันก็เหมือนๆกัน เพราะธรรมชาตินี้มีอยู่ภายในจิตใจด้วยกันทั้งนั้น เป็นเรื่องประกาศตนในหลักธรรมชาติ อย่างสิ่งที่มีอยู่นี้ก็คือความเกิดขึ้นมา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นมนุษย์ เดรัจฉาน มีเชื้ออันใดพาให้เกิด นี่ มันเป็นเครื่องประกาศตนอยู่ในนั้น ถ้าไม่มีเชื้อ จะเกิดขึ้นมาเป็นรูป เป็นกาย เป็นหญิง เป็นชาย เป็นสัตว์ เป็นบุคคล นี้ไม่ได้ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกที่หมดเชื้อไปแล้ว ท่านไม่ก่อไม่เกิด เห็นได้อย่างชัดเจน ผู้ที่เกิดก็เกิดเพราะเป็นเรื่องของกิเลส

เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วจึงเป็นเรื่องของกิเลสจะเป็นผู้ชัก ผู้จูง ผู้นำ ผู้ทำลาย หรือผู้เบียดเบียน เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น สัตว์โลกทั่วๆไปจึงต้องยอมรับกันในเรื่องของทุกข์ กิเลสอยู่ภายในจิตใจต้องผลิตขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นความทุกข์ ความทรมานทางด้านจิตใจจึงมีอยู่เรื่อยๆ หาทางสิ้นสุดยุติไม่ได้ ศาสนธรรมที่ท่านสอนนี่เป็นความถูกต้องที่สุด ที่จะแก้จุดนี้ได้มีศาสนธรรมนี้เท่านั้น

เมื่อเราเทียบกับสัตว์โลกทั่วๆไป เรื่องของพระพุทธเจ้ากับสัตว์โลกทั่วๆไป อุบายของพระพุทธเจ้ากับอุบายของโลกผู้แก้ทุกข์นี้ เราจะเห็นได้ว่าผิดกันคนละโลกเลย ไม่มีใครที่จะมาคิดค้นด้วยลำพังตนเอง แล้วแก้ทุกข์ให้ผ่านพ้นไปได้โดยไม่ต้องปรึกษากับครูบาอาจารย์ ก็มีแต่สยมภูผู้รู้เอง ได้แก่ พระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น และอย่างไรก็ตาม ผู้ที่ศึกษาอยู่ก็ยังดีเพราะศึกษาในแนวทางที่ถูก มาปฏิบัติตนให้พ้นไปได้โดยลำดับ เนี่ยท่านว่า กองทุกข์

กองทุกข์ ชื่อว่า สัจธรรม ท่านว่ากระเทือนโลกอยู่ เราพอจะทราบได้หรือไม่ว่ากระเทือนอย่างนั้น จริงไหม จะไม่กระเทือนยังไง สัตว์ทุกตัวมีทุกข์กันทั้งนั้น ประกาศอยู่ในกังวานภายในกายภายในจิตของสัตว์โลกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใด แม้แต่อินทร์พรหมก็ไม่เว้น ถ้ากิเลสยังมีอยู่นั้น ก็ต้องประกาศตนมากน้อยตามส่วนของกิเลสที่มีอยู่เช่นเดียวกัน กิเลสมีอยู่ในสถานที่ใด กองทุกข์จะมีอยู่ในสถานที่นั้น และสัจธรรมคือทุกขสัจ

เรายกทุกขสัจขึ้นเป็นข้อแรก ประกาศผลของกิเลสอย่างโต้งๆ ที่เดียว ประกาศกังวานอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่รู้เหรอ ไม่เห็นเหรอ ท่านพูดอย่างถูกต้องเลย นี่ประกาศอยู่กับสัตว์ กับบุคคลอยู่ทั่วๆไป

“โกนุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถฯ”

อย่างที่พูดที่ศาลาวันนั้น พูดเอาเนื้อความให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรงตามความจริง และจุดที่หมายก็คือ ก็เมื่อโลกนิวาสนี้ร้อนไปด้วยเพลิงของกิเลสเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา ท่านทั้งหลายเพลิดเพลินกันไปหาอะไร ทำไมจึงไม่แสวงหาที่พึ่งเล่า

“โกนุ หาโส” ก็หมายถึงว่า รื่นเริงบันเทิงใจ

“นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ” หมายถึงว่า ไฟกิเลสตัณหาอาสวะมันเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา ทำไมจึงมีแต่จิตแต่ใจรื่นเริงเพลิดเพลินอยู่โดยไม่รู้สึกตัว

“ปทีปํ น คเวสถ” จึง “อนฺธกาเรน โอนทฺธา” คือความมืดบอดมันครอบอยู่ตลอดเวลา ฟ้าจะสว่าง ตะวันจะกี่ดวงก็ตาม ความมืดของจิต ตะวันไม่สามารถที่จะส่องไปถึง นั่นแลตัวมืดด้วยอำนาจของกิเลส มันปิดได้อย่างนั้น

เมื่อมันครอบงำจนมิดอยู่เช่นนี้ ทำไมจึงต้องดิ้นรนกันอยู่หล่ะ ไม่แสวงหาที่พึ่ง นี่และเป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธภาษิต มันน่าสลดสังเวชอยู่ไม่น้อย ในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย ที่จมอยู่ในกองทุกข์มากี่กัปป์กี่กัลป์ แม้ตนเองก็ไม่นับได้เลยว่ากี่ภพกี่ชาติ ก็มาเห็นในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น เพราะสายตาเรามันสั้น เพียงเรามองดูรอบตัวนี่ก็ยังไม่ตลอดทั่วถึง สิ่งที่ผ่านมาแล้วในชาตินี้มันก็จำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงชาตินู้นชาตินี้อะไรเลย เพียงชาตินี้เราก็ยังจำกันไม่ได้ ทำมาทำมาแล้วผ่านมาแล้วผ่านมาแล้ว หลงลืมไปแล้วหลงลืมไปแล้ว

ส่วนกองทุกข์มันมีอยู่ภายในใจ มันแสดงอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะไปสามารถทราบได้อย่างไรในภพในชาติของเราที่เป็นมามากน้อย สักขีพยานก็คือตัวสำคัญได้แก่ กิเลส ที่เป็นเชื้อให้เกิดอยู่ตลอดเวลาทุกภพทุกชาติ ล้วนแล้วแต่ให้เป็นไปเพราะกิเลส เป็นเชื้อนี้เท่านั้น

นี้เป็นเครื่องยืนยันว่าเราต้องเกิด เราต้องเคยเกิดมาแล้วเช่นเดียวกับชาติปัจจุบันนี้ เพราะอะไรเป็นสาเหตุให้เกิด เพราะกิเลสตัวให้เกิดมันมีอยู่ภายในจิตใจ นี่แหละเป็นเครื่องยืนยันภพชาติของตน จะนับได้ไม่ได้ก็ตาม ว่ากี่ภพกี่ชาติที่เคยเกิดมา มันบอกอยู่ภายในนี้ ถ้าล้มล้างตัวนี้ไม่ได้เมื่อไหร่ ต้องเป็นนักเกิดนักตายอยู่เช่นนี้ตลอดไป

คำว่านักนี้ มันไม่ใช่ นักเกิดนักตาย มันก็เป็นนักแบกหามของทุกข์ ซึ่งตามมาด้วยความเกิดนั่นเอง แล้วก็ผลิตกิเลสขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วแดนแห่งความพ้นทุกข์อยู่ที่ไหน เมื่อมีแต่กิเลสเป็นเจ้าเรือน เป็นผู้บงการอยู่ภายในจิตใจ มันก็มีแต่เรื่องกองทุกข์ที่มันผลิตขึ้นมาให้เรานั้นเอง แต่ละบุคคลบุคคล นี่เป็นตัวนี้ท่านว่า ทุกข์ประกาศกังวานอยู่ทั่วโลกดินแดนในไตรโลกธาตุนี้เต็มไปด้วยทุกข์ เต็มไปด้วยสัจธรรม สัจธรรม คือ ทุกขสัจ ก็เป็นสัจธรรมข้อหนึ่ง สมุทยสัจ ได้แก่ ตัวกิเลส ที่เป็นตัวบงการ เป็นตัวผลิตทุกข์ขึ้นมาให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมาน มันก็ประกาศกังวานอยู่ภายในจิตใจของสัตว์โลก

คำว่า มรรค คือ ข้อปฏิบัติทางดำเนิน ถ้าไม่มีสัจธรรมทั้งสองประการนี้ ก็จะไม่ได้ย้ายตำแหน่ง ไม่ได้ขยายตัวเอง ได้ขยับขยายตัวเองออกจากที่ที่เคยอยู่ ได้แก่ จิตใจของสัตว์โลก นั่นแลเป็นสถานที่อยู่ของกิเลส ของทุกขสัจและสมุทยสัจ ต่อจากนั้นมันก็ผลิตออกมาเป็นรูป เป็นกาย

ทุกข์ในเรื่องกายทั้งหมด ก็เป็นสถานที่อยู่แห่งทุกข์อีกด้วย นอกจากมีอยู่ภายในจิตใจแล้ว ยังแตกแขนงออกมามีอยู่ในร่างกายของสัตว์โลก สองสัจจะนี้แลเป็นเจ้าครองโลก ครองสงสาร ครองวัฏจักร ให้หมุน ให้สัตว์โลกได้หมุนไปหมุนมา เกิดแก่เจ็บตายอยู่ไม่รู้จักสิ้นสุดไปได้ เช่นเดียวกับ มดมันไต่ขอบด้ง ไต่ไปไต่มาอยู่อย่างนั้น หาทางออกไม่ได้เพราะขอบด้งมันกลม กิเลสมันก็หมุนไปหมุนมานี่ มันไม่ได้หมุนไปไหนจากวัฏจักร มันหมุนอยู่ในวัฏจักร มันก็เหมือนกับกลม เกิดแก่เจ็บตาย เกิดแก่เจ็บตาย ต่อเมื่อได้สัจธรรมข้อที่สี่ ที่เรียกว่า มรรค เข้ามาสถิตย์ภายในจิตใจ เข้ามาแก้ไข เข้ามาระงับเหตุการณ์ เข้ามาชำระความ ภายในจิตใจ

นั่นหล่ะ เรื่องคดีที่มีอยู่ภายในจิตใจ มันเป็นเรื่องของกิเลสที่ผลิตขึ้นมา จะค่อยจางไปจางไป เมื่อสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร คุณงามความดีทั้งหลาย นี่หล่ะเป็นตัวกำจัด เป็นตัวชำระ เฉพาะอย่างยิ่งคือ สติ ปัญญา เข้ามาทำงานในที่นี่ กิเลสก็เริ่มขยับขยายไปโดยลำดับๆ เมื่อสติ ปัญญามีความสามารถแก่กล้ามากน้อยเพียงไร กิเลสก็จะค่อยขยายตัวออกไป จางไปๆๆ มากน้อยเพียงนั้น นี่เรียกว่า มรรคสัจ ทำหน้าที่หรือชำระอธิกรณ์ ทำลายวัฏจักรซึ่งมีอยู่ภายในจิตของสัตว์ ทำลายหม้อนรกที่มีอยู่ภายในจิตใจของสัตว์โลกให้แตกเป็นชิ้นเป็นอันโดยลำดับ จนกระทั่งทำลายได้โดยไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในจิตใจ ใจก็เป็นใจที่บริสุทธิ์ เป็นวิมุตติพระนิพพานหลุดพ้นแล้วจากความเป็นนักโทษในห้องขังคือวัฏจักร ได้แก่ ความเกิดแก่เจ็บตาย หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงยังกะอยู่ในเรือนจำคือวัฏจักร เจ้าผู้รับกองทุกข์คือนักโทษก็ ได้แก่ตัวของเรา ได้แก่จิตของเราเนี่ย

สัจธรรม คือ มรรคสัจ นี้เป็นเครื่องทำลาย นิโรธสัจนั้นก็คือความดับทุกข์ไปโดยลำดับๆ อันเป็นผลมาจากมรรคที่มีกำลังมากน้อยนั้นเอง ทั้งสามสี่อย่างนี้ทำหน้าที่เกี่ยวโยงกันอยู่เสมอ เช่นอย่างมรรคสัจก็มาทำงานอยู่ภายในจิตใจ กิเลสก็ทำงานอยู่ภายในจิตใจ ชำระกิเลสได้มากน้อยก็อยู่ที่อำนาจของมรรคสัจ และนิโรธ ก็คือความดับทุกข์ไปโดยลำดับแห่งกิเลสที่ดับไปมากน้อย จนกระทั่งมรรคสัจมีความสามารถเต็มที่กำจัดสมุทยสัจให้หมดไปจากใจโดยสิ้นเชิง นิโรธ คือความดับทุกข์ก็ดับอย่างสนิทไม่มีสิ่งใดเหลือ ผู้นี้แลเป็นผู้พ้นแล้วจากห้องขัง คือ ความเกิดแก่เจ็บตายในวัฏฏสงสาร

อุบายวิธีที่จะให้หลุดพ้นจากวัฏจักรนี้ ก็คือ ศาสนธรรมมีมรรค ๘ เป็นสำคัญ ถ้านอกเหลือไปจากมรรค ๘ นี้แล้วไม่มีอันใดที่จะรับรอง ว่าผู้นั้นจะพ้นทุกข์ไปได้ด้วยลำพังความคิดเดาของตนเอง หรือว่าด้วยความอยากของตนเองเท่านั้น

สิ่งที่รับรองก็คือ มรรคสัจ สรุปแล้วก็คือคุณงามความดีทั้งหลายมีมรรคสัจเป็นสำคัญ ได้แก่ ปัญญา สติ นี้เป็นเครื่องทำลายกิเลส ทำลายวัฏจักร เรื่องความเกิดตายที่จะเป็นไปในกาลต่อไปนั้น บอกกันได้ชัดๆภายในจิต ว่าหมดเชื้อแล้วหรือยัง มรรคสัจได้ทำลายตัวกงจักรหรือตัวเชื้อนี้ออกไปมากน้อยเพียงใด

ถ้าทำลายโดยสิ้นเชิงความเกิดอีกต่อไปก็หมดโดยไม่มีอะไรเหลือ นี้เป็นเครื่องยืนยันอยู่ภายในจิตของสัตว์โลกด้วยกัน และเป็นเครื่องยืนยันอยู่กับมรรค คือข้อปฏิบัติ ได้แก่ สติ ปัญญา เป็นผู้ที่จะตัดสินสิ่งเหล่านี้ลงได้ เรื่องกิเลสนี้ลงได้ เมื่อกิเลสละเอียดหยาบเพียงใด ได้หมดไปจากใจแล้ว นั้นแลคือการตัดสินวัฏจักร ได้พ้นโทษไปแล้วโดยสิ้นเชิง ผู้นั้นจะไม่มาตกหลุม ตกเหว ตกบ่อ คือความเกิดแก่เจ็บตาย รับความทุกข์ความลำบากเหมือนอย่างกับสัตว์โลกทั้งหลายที่เป็นอยู่กันในเวลานี้ และกับตัวเองซึ่งเป็นเช่นนั้นก็ผ่านพ้นไปแล้ว

ถ้าพญามัจจุราชจะมาเอา มันก็ได้แค่กากเมือง ได้แก่ ร่างกายนี้ เจ็บนั้นปวดนี้ พระพุทธเจ้าก็เจ็บ บรรดาธาตุขันธ์ ไม่ว่าธาตุขันธ์ของใคร แม้แต่ผู้บริสุทธิ์ ท่านก็ต้องยอมรับว่าเจ็บ แต่ท่านก็ไม่ได้เสวยความเจ็บความทุกข์นั้น เพราะจิตใจท่านนั้นไม่ซึมซาบ ท่านจะเสวยทุกข์เช่นเดียวกับสัตว์โลกได้อย่างไร การรับทราบความกระทบกระเทือนแห่งทุกข์นี้ ท่านรับทราบ แต่จะให้ท่านมีความเดือดร้อนวุ่นวายเช่นเดียวกับคนที่มีกิเลสทั่วๆไปนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะรับทราบถึงวาระสุดท้ายของขันธ์ที่มันจะแสดงตัวเต็มที่เวลานั้น คือ การสลายที่ท่านมีด้วยกัน

เราก็เป็นนักรบคนหนึ่งในสงครามเรื่องของขันธ์ที่เรารับผิดชอบมา เรื่องของจิตเราก็ทำความรอบคอบต่อขันธ์ เราอย่าไปโง่กว่าขันธ์ ถ้าโง่กว่าขันธ์ เราก็ยอมแบกทุกข์ที่มันเกิดขึ้นภายในขันธ์ โดยที่ขันธ์เค้าไม่มีความหมาย เค้าไม่ทราบเลยว่าเค้าเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร นอกจากจิตผู้ที่โง่เขลาเท่านั้น จะเป็นผู้ไปรับความทุกข์โดยหาประโยชน์อะไรไม่ได้ นอกจากความกระทบกระเทือนจิตใจตนอยู่ถ่ายเดียว

ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องใช้ความพินิจพิจารณา มีสติปัญญาความรอบคอบในธาตุในขันธ์ เจ็บตรงไหนก็ให้ทราบว่าเจ็บ พอเยียวยากันได้ก็เยียวยา เมื่อเยียวยาไม่ได้ก็ปล่อยไปตามความจริง คือ “ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ” ให้รู้เห้นตามเป็นจริงของมัน เราก็อยู่ตามความเป็นจริงของเรา ก็ไม่คละเคล้ากัน เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ขันธ์ทนไม่ไหวก็แตก แตกก็แตก สิ่งที่ไม่ใช่ขันธ์มันยังแตก เช่น หม้อไหแปลธาตุ ต้นไม้ภูเขา มันยังแตกได้ ทำไมขันธ์ของคนเพียงเท่านี้มันจะแตกไม่ได้ มันเป็นคติธรรมดา เราจะหวงห้ามมันไม่ได้ เอ้าแตก ขอให้แตกตามหลักธรรมชาติของมัน เราอย่าไปฝืนมัน นี่ชื่อเรียกว่า เรียนความรู้ตามความจริง การฝืนไม่ใช่ความจริง การฝืนนั้นแลเป็นสิ่งที่ให้เกิดทุกข์ เพราะฝืนความจริง

เมื่อรู้ตามความจริงแล้ว ทุกข์ที่จะเกิดขึ้นเพราะความกังวล เพราะความยึดถือมันก็ไม่มี เรื่องความเกิดขึ้นมาแล้ว ความตายมันมีเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหญิง เป็นชาย เป็นสัตว์ตัวใด มีเท่ากัน เป็นแต่เพียงว่าต่างกันตามวาระที่จะมาถึงของขันธ์ของธาตุนั้นๆ ไม่มีอะไรที่ใครจะยิ่งหย่อนกว่ากันในเรื่องความตาย เช่น เรานั่งอยู่ด้วยกันในเวลานี้ ความตายก็เต็มตัวอยู่ในขันธ์นี้ด้วยกัน ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบกันได้ที่ตรงไหน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบเรื่องความตาย ถึงกาลแล้วก็ต้องเป็นไปเช่นเดียวกัน เช่น ผู้นี้ตายในวันนี้ วันนี้กับวันหน้ามันก็สืบเนื่องกันไปอย่างนี้ ก็ไม่เห็นผิดแปลกอะไร มันก็ตายอันเดียวกัน แน่ะ! เท่ากัน สำคัญที่ความเฉลียวฉลาดกับความโง่นี้เท่านั้นเป็นสำคัญ

อย่าให้จิตของเราโง่ต่อขันธ์ พิจารณาให้รู้ หาจะทุกข์ขนาดไหนให้ทราบว่าเรื่องของทุกข์มันมีอยู่ในขันธ์เท่านั้น และมีอยู่ในขณะที่จิตรับทราบกันนี้ จิตให้รับทราบด้วยปัญญา อย่ารับทราบด้วยความโง่เขลา และจะแบกทุกข์ขึ้นทั้งทางจิตขึ้นมาอีก ก็ยิ่งหนักมากขึ้นกว่าขันธ์ที่แสดงทุกข์ขึ้นมาโดยลำพังตัวเอง หากมีความฉลาด ขันธ์เป็นทุกข์ก็ให้ทราบว่าขันธ์เป็นทุกข์ แต่ไม่แบกความทุกข์นั้น เพราะความรู้เท่าทันกัน นี่จึงชื่อว่า นักเรียนธรรมะ นักปฏิบัติธรรมะ ตามความจริงแห่งสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว จะไม่มีทางกระทบกระเทือนแก่ตน จะเป็นสุคโต อยู่ก็เป็นสุคโต ธาตุขันธ์ตายไปก็เป็นสุคโต เพราะความเฉลียวฉลาดพาให้เป็นสุคโต

หากความทุกข์นี้เป็นสนามรบกับกิเลส พิจารณาให้ดี เราได้ก้าวเข้าแล้วสู่สงครามตั้งแต่วันเกิดมา แต่เราไม่ทราบว่าเป็นสงครามเพราะเราไม่เคยต่อสู้ ยอมให้เค้าทำลายตลอดมา แพ้เค้าเรื่อยๆ เพราะเราไม่สู้ เรายอม ที่นี้เราสู้ ก็ให้เห็นแพ้ชนะกัน จึงเรียกว่านักรบ ไม่ใช่นักหลบ อะไรเกิดขึ้นมา ก็หลบ หลบ หลบ หลบซ่อน เค้าก็ตามตีเอาซิ ถ้าไปหลบไปซ่อน สู้มันจน เอ้า หามมันลงเวที นี่เรียกว่านักมวยเอก นี่เราก็นักสู้ สู้มันไปไม่ถอย

พระพุทธเจ้าไม่สอนให้ถอย พระพุทธเจ้าเป็นหัวหน้าแนวรบอย่างเอกไม่มีใครเสมอ สาวกก็เป็น เดินตาม ตามเสด็จพระพุทธเจ้า พุทธัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ คือผู้กล้าหาญชาญชัยต่อความจริง และกล้าต่อสู้ความจริงด้วยสติปัญญา แต่ถ้าไม่กล้า อยู่เฉยๆ ให้เค้าตีเอาตูมๆ นั่น ต้องกล้าด้วยสติปัญญา มีเครื่องมืออันทันสมัย เรากล้าด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรของเรา ก็ชื่อว่าเดินตามครู

นี่เรามีหวัง เรามีหลักใจ เรามีหวัง ปัจจุบันก็มีหลัก อนาคตก็คือใจนั้นแล จะเป็นผู้พาไป สร้างหลักให้ใจไปแล้ว ใจจะเขวไปไหน เราไม่ต้องไปคิดนรกสวรรค์ที่ไหน นอกจากทำความดี ทำความเฉลียวฉลาด อัดเข้าไปภายในจิตใจให้เพียงพอ นี่ล่ะเป็นตัวการสำคัญที่จะไปภพไหนๆก็ตาม ไม่นอกเหนือจากจิต ตัวโง่และตัวฉลาดนี้ เพราะฉะนั้นจึงสร้างความฉลาดให้จิต เมื่อจิตมีความฉลาดแล้วอยู่ไหนมันก็ฉลาด ปัจจุบันนี้ก็ฉลาด

หมายเหตุ:— ในเวป luangta.com ไม่มีต้นฉบับถอดความเสียงแต่เดิม ข้างต้นนี้คือการถอดความขึ้นมาครั้งแรก