มัชฌิมากิเลส มัชฌิมาธรรม
มัชฌิมาของพระพุทธเจ้า กิเลสมันหนักขนาดไหน มัชฌิมาก็อย่างนั้น เอาให้ถึงกันๆ ..เราอย่าเอามัชฌิมาของกิเลสมาใช้เลย
มัชฌิมาของพระพุทธเจ้า กิเลสมันหนักขนาดไหน มัชฌิมาก็อย่างนั้น เอาให้ถึงกันๆ ..เราอย่าเอามัชฌิมาของกิเลสมาใช้เลย
เป็นนิสัยของจิต ไม่ได้คิดไม่ได้ปรุงก็อยู่ไม่ได้ ที่ปรุงก็เพื่อเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ ที่ล่วงมานาน ไม่นาน ก็ทั้งวาดภาพ ปรุงแล้วเป็นภาพนั้นขึ้น
ถ้าจะเทียบจิตของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน กับจิตของพวกเรา จิตของพวกเรานี้มันเหมือนยุงตีกัน เหมือนยุงชกกัน ยุ่งกันอยู่อย่างนั้น
รสแห่งธรรม ชำนะซึ่งรสทั้งปวง คำว่า “รสทั้งปวง” นั้น คือ ทั้งหมด ไม่ว่ารสอะไรทั้งนั้นในโลก รสแห่งธรรมนี้เป็น “ยอด” คือชนะรสทั้งปวงหมด
งานของจิต วันที่ 20 พฤศจิกายน 2518 ความยาว 19.54 นาที สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด (ไม่มีต้นฉบับถอดความเสียง)
ภาวะสงครามโลก ก็คือ ความทุกข์ ความพินาศ ฉิบหายของสัตว์โลก นั้นมันเกิดเป็นครั้งเป็นคราว ธาตุ ขันธ์ ใจ กับกิเลสตัณหา เป็นสงครามที่
ท่านอาจารย์มั่นท่านว่า “ใจ” มีภาษาเดียวเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใด มีเพียงความรู้คือใจนี้ ฉะนั้นท่านจึงว่าเป็นภาษาเดียว
เทศน์ในวงปฏิบัติ ไม่ค่อยจะเทศน์ไปกว้างขวางให้เสียเวลามากมาย เทศน์ย่นลงมาในจุดสำคัญๆ เทศน์เรื่องทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ในโลกนี้?
กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2518 ความยาว 25.04 นาที สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด (ไม่มีต้นฉบับถอดความเสียง)
การปฏิบัติถึงคราวเด็ดมันต้องเด็ด ถึงคราวเฉียบขาดต้องเฉียบขาด มันเป็นไปตามจังหวะหรือตามเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับจิตนี่เองแหละ
จิตถ้าเราจะเทียบทางโลกแล้ว ก็เป็นผู้ต้องขังมาตลอดเวลา เหมือนคนที่เกิดอยู่ในเรือนจำ โดยอยู่ในเรือนจำ ในห้องขัง ไม่มีวันออกมา
การแสดงธรรมในครั้งพุทธกาล ทรงแสดงจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเป็นส่วนมาก จากนั้นก็สาวกแสดง ซึ่งล้วนแต่
ที่ท่านพูดว่า “โลก” ก็คือหมู่สัตว์ “สตฺต” แปลว่าผู้ข้อง ผู้ยังติดยังข้อง อะไรทำให้ข้อง? เพียงเท่านั้นก็ทราบแล้ว ท่านพรรณนาไว้หลาย
ถ้าใจไม่มีความสงบเลย ก็จะหาความสุขไม่ได้ตลอดไป ดังเราผ่านโลกมานานทุกๆคน นับแต่วันเวลาโผล่ออกมาสู่ความเป็นมนุษย์
ก่อนอื่นให้ใจได้รับการอบรมศีลธรรมคุณงามความดีต่างๆ หลังจากนั้นก็ฝึกหัดทางด้านจิตใจ ทดสอบอารมณ์ที่เคยเป็นพิษ
ใจที่ไม่สงบก็เพราะมีสิ่งรบกวนอยู่เสมอ ความถูกรบกวนอยู่เสมอ ถ้าเป็นน้ำก็ต้องขุ่น น้ำถ้าถูกกวนมากๆ ก็ขุ่นเป็นโคลนเป็นตมไปเลย
ศาสนาในขั้นเริ่มแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศเอง มีสาวกช่วยพุทธภาระให้เบาบางลง ในครั้งนั้นศาสนาไม่ค่อยกว้างขวาง มีแต่เนื้อๆ
จิตของสัตว์โลกที่มีกิเลสเครื่องวุ่นวายสับสน ก็มักเป็นกันอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา ตำหนิกันไม่ลง เพราะต่างคนต่างมีโรคที่คอยรับยา
มนุษย์เราต่างจากสัตว์ สัตว์เขาอยู่โดยธรรมชาติ คือเกิดมาโดยธรรมชาติ อะไรๆก็ตามธรรมชาติ อยู่อย่างธรรมชาติ ตลอดความเป็นอยู่
ผู้ปฏิบัติธรรมจะเริ่มรู้ธรรม หรือมีความรู้สึกในธรรม ทางด้านจิตตภาวนาเด่นกว่าด้านอื่นๆ ขยายวงกว้างออกไป เช่น ความซึ้งจากการให้
การสร้างคุณงามความดีทั้งหลาย เปรียบเหมือนกับการชะล้างตนให้สะอาด การฝึกหัดสติปัญญา เครื่องแก้ใจ ก็ชื่อว่าการชะล้างตน
โลกนี้แม้จะรุ่มร้อนเพียงไรก็ตาม ยังมีศาสนาเป็นเครื่องเยียวยา อย่างน้อยมีศาสนาเป็นเครื่องเยียวยา ก็ยังพอมีทางบรรเทาเบาทุกข์
ปัญหาของโลกในปัจจุบันนี้ที่มีมากก็คือปัญหาที่ “ตายแล้วเกิด” ดูจะมีน้อย “ตายแล้วสูญ” รู้สึกว่าจะมีมากขึ้นทุกที ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่
โลกที่มีสุคโต วันที่ 15 ธันวาคม 2518 ความยาว 31.44 นาที สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด (ไม่มีต้นฉบับถอดความเสียง)
เจ้าปัญหาเจ้าก่อความยุ่งยาก ตัวก่อเหตุอยู่ไม่หยุดไม่ยั้ง ทั้งกลางวันกลางคืนยืนเดินนั่งนอน เว้นแต่จะหลับสนิทไปเท่านั้น คืออะไร
เราเกิดมากับสิ่งจอมปลอมด้วยกันทั้งนั้น รวมทั้งสัตว์ ทั้งบุคคลเข้าด้วยกัน ยังไม่มีความจริงเข้าแทรกสิงจิตใจได้ ใจจึงปลอมทั้งดวง
พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักรบ ทรงสอนพุทธบริษัทให้เป็นนักรบเหมือนกัน วิธีการที่พระท่านไปเที่ยวกรรมฐานในที่ต่างๆ ล้วนเป็นวิธีการของ
จิตทำหน้าที่อันเดียว มีความรู้สึก มีความรับรู้กับบทธรรมที่ท่านแสดงไป ไม่มีอารมณ์ใดเข้าไปเกี่ยวข้อง ใจก็เป็นความสงบขึ้นมา
พหุํ เว สรณํ ยนฺติ ในภาษิตที่ยกขึ้นนี้ ท่านพูดถึงความจนตรอกจนมุมของคนที่ต้องวิ่งหาที่พึ่ง ระส่ำระสายไม่เป็นท่าเป็นสาระ เพราะภัย
เพียงขณะที่เริ่มฝึกหัดจิตเบื้องต้น เราก็ได้เริ่มใช้สติแล้ว มีความตั้งท่าตั้งทางระมัดระวังอยู่ภายในใจ คือทำความรู้สึกกับใจ มีเจตนาพร้อม
เราจะเห็นได้ว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่เชิดชีวิตให้มีคุณค่า ทั้งทางด้านจิตใจ และกิริยาความประพฤติมารยาทการแสดงออกต่างๆ
ถ้ามีแต่ละคน อยู่กันคนละหนละแห่ง ก็ไม่เป็นเครื่องสะดุดใจอะไรมากนัก แต่ถ้ามารวมกันเข้า รวมกันเข้า รวมกันมากเข้า
จิตทั้งๆที่ไม่รวมไม่สงบลงเป็นสมาธิก็ตาม เมื่อกำหนดดูที่จุดแห่งความรู้นั้น จะเห็นว่าเป็นความละเอียดอ่อนมากที่สุดจนพูดอะไรไม่ถูก
พระพุทธเจ้าของเราเป็นนักเหตุผล เป็นนักอรรถนักธรรม นักรู้นักฉลาดแหลมคม และเป็นคลังแห่งธรรม ผลธรรมที่อยู่ในคลัง คือ
เรามีศาสนาเป็นเครื่องปกครองจิต เหมือนกับลูกที่มีพ่อแม่ปกครอง อุ่นหนาฝาคั่งเย็นสบาย พ่อแม่ก็มีเหตุมีผล ลูกก็เป็นผู้สนใจในเหตุผล
คำว่า “ผล” ก็เป็นอาการหนึ่ง คือ เป็นชื่อแห่งธรรมที่ปรากฏอยู่ในจิตใจ ตามขั้น ตามภูมิ ของใจ ของธรรม ที่เรียกว่า “ธรรมแท้” เป็นลำดับๆ
คำว่า “จิต” เป็นความรู้เพียงเท่านั้น ไม่มีเรื่องราวอะไรมากนัก ยิ่งมีความรู้อยู่โดยเฉพาะจิตก็ไม่มีเรื่อง พอจิตกระเพื่อมตัวออก
หินลับสติปัญญา วันที่ 29 ธันวาคม 2518 ความยาว 33.54 นาที สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด (ไม่มีต้นฉบับถอดความเสียง)
สาระคุณของศาสนธรรม วันที่ 30 ธันวาคม 2518 ความยาว 33.38 นาที สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด (ไม่มีต้นฉบับถอดความเสียง)
เมื่อจิตได้สร้างตัวเองจนปรากฏเป็นจิตที่มีคุณค่าขึ้นมาแล้ว ความสำคัญต่างๆ ภายในจิตที่เที่ยวเกาะเที่ยวยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นของมีคุณค่า
การไม่คบคนพาลสันดานหยาบ การคบบัณฑิตผู้ประพฤติชอบด้วยกายวาจาใจ “เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ” ท่านว่าเป็นมงคลอันสูงสุด
โลกที่ไม่มีศาสนา ต้องเป็นโลกที่เดือดร้อนอย่างไม่มีปัญหาสิ้นสุด คนไม่มีศาสนาก็เป็นคนเดือดร้อนไม่มีขอบเขตเช่นเดียวกัน
มีผู้ถามปัญหาพอระลึกได้บ้าง ก็ปัญหา “ปากคอก” นี่แหละ มีอยู่กับทุกคน ว่า “โลกหน้ามีไหม? โลกหน้ากับผู้ไปโลกหน้าโลกหลังอะไรเหล่านี้
การปราบปรามโจรผู้ร้ายภายในจิตใจ เมื่อเริ่มปราบปรามทีแรกก็เป็นทุกข์ เพราะส่วนมากมีแต่แพ้มัน ก็ยังดีที่เรายังมีกำลังพอต่อสู้มัน
คนเราเหมือนกับต้นไม้ ถ้ารดน้ำให้ปุ๋ยอยู่เรื่อยๆ บำรุงอยู่โดยสม่ำเสมอ ก็มีความสดชื่นดี และเติบโตขึ้นเร็วกว่าปกติธรรมดา
การประพฤติตัวก็เหมือนเราเดินทาง ย่อมสำคัญทางผิดว่าเป็นทางถูกแล้วเดินไป ถ้าไม่หลงก็ไม่เดินทางผิด เดินทางที่ถูกเรื่อยๆไป
คนแทบทั้งโลกมีความเห็นอันเดียวกัน และจากความเห็นอันเดียวกัน คำพูดก็เป็นเหมือนๆกันว่า “ถ้าชาติหน้ามี ขอให้เป็นอย่างนั้นๆ!”
ครั้งพุทธกาลปรากฏว่าท่านสนใจทาง “จิตตภาวนา” มากกว่าด้านวัตถุ ไม่ใช่มากธรรมดา ท่านถือเป็น “เนื้อ” เป็น “หนัง” เป็นสาระสำคัญ
มรรค ผล นิพพาน ไม่มีสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติเท่านั้น ไม่ว่าสมัยใดๆ จะมีเฉพาะผู้ปฏิบัติ มีมากมีน้อยตามกำลังแห่งการปฏิบัติของตนๆ
วันนี้เทศน์เรื่องมนุษย์สูงกว่าบรรดาสัตว์ โลกสูงกว่ามนุษย์ ธรรมสูงกว่าโลก เพราะฉะนั้นธรรมกับมนุษย์จึงเป็นคู่ควรกัน
พระวัชชีบุตร ท่านเป็นบุตรแห่งชาว “วัชชี” สกุลนั้นมีลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ บวชแล้วไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ป่าช้า
ความหนักที่สุดก็คือ “ใจ” ความเบาที่สุดก็คือ “ใจ” ความหยาบที่สุดก็คือ “ใจ” ความละเอียดหรืออัศจรรย์อย่างยิ่งก็คือ “ใจ”
ให้เป็นนักต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ไม่เคยปรากฏในบทใดบาทใดว่าพระองค์ทรงสอนให้ลดละความพากเพียรและอ่อนแอในการงาน
ทีแรกก่อนปฏิบัติเราไม่อยากจะเชื่อว่า “ธรรมอยู่กับใจ ที่ไหนกัน” อยู่กับความเพียรในใจนั้น น่าฟังกว่าที่ว่า “ธรรมอยู่กับใจ”
ไปหาท่านอาจารย์มั่นทีแรก เวลาท่านเทศน์ให้ฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ดีที่ไม่เคยนึกตำหนิท่าน มาตำหนิตัวเอง “นั่นเห็นไหม เราโง่ไหม ทีนี้”
บุคคล และ สัตว์ ที่ได้รับความกระทบกระเทือน หรือความสัมผัสรับรู้ในสิ่งต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากใจ ไม่มี! ใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การเกิดในแดนพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้อยู่ในแดนพุทธศาสนา ก็เหมือนอย่างโบราณท่านว่า “เป็นผู้ชายไม่ได้บวช” ฉะนั้น
ธรรมของพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างถูกต้องไม่มีปิดบังลี้ลับ แสดงตามความจริงที่มีอยู่ทุกอย่างไม่ว่าขั้นไหนแห่งธรรม
ตามหลักธรรมท่านกล่าวไว้ว่า “สุญญกัป” คือระยะที่ว่างเปล่าจากศาสนา ไม่มีอรรถไม่มีธรรม คำว่า “ศีล” ว่า “ธรรม” ว่า “บาป” ว่า “บุญ”
“เปลี่ยนเสื้อ” เปลี่ยนเสื้อนั้นมีหลายชนิด เปลี่ยนเสื้อดีเป็นเสื้อขาดก็มี ระวังให้ดีนะ เปลี่ยนเสื้อคน เอาเสื้อสัตว์มาใส่ก็มี นั่น ระวัง!
การเริ่มปฏิบัติธรรม ก็เช่นเดียวกับเราเริ่มเรียนหนังสือ เรียนหนังสือทีแรก เต็มไปด้วยความขี้เกียจ พ่อแม่บังคับบัญชาร้องห่มร้องไห้
ขณะฟังเทศน์ให้จิตอยู่กับตัวไม่ต้องส่งออกไปที่ไหน ให้รู้อยู่จำเพาะตัวเท่านั้น แม้แต่ที่ผู้เทศน์ก็ไม่ให้ส่งออกมา
ศาสนาอยู่ที่ไหน วันที่ 25 มกราคม 2519 ความยาว 33.58 นาที สถานที่ : ศาลาโรงครัว วัดป่าบ้านตาด (ไม่มีต้นฉบับถอดความเสียง)
ปกติจิตเป็นสิ่งที่ผ่องใส และพร้อมที่จะสัมผัสสัมพันธ์กับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เสมอ สภาพทั้งหลายเป็น “ไตรลักษณ์” ตกอยู่ใน
การเรียนเป็นเหมือนกับเรียนแผนที่ แต่ส่วนมากมักไม่ทำตาม “แผนที่” แต่แผนที่ภายนอก กับแผนที่ภายในนี้ผิดกันคนละโลก
ถาม-ตอบปัญหา วันที่ 27 มกราคม 2519 ความยาว 20.58 นาที สถานที่ : ศาลาโรงครัว วัดป่าบ้านตาด (ไม่มีต้นฉบับถอดความเสียง)
จิตของคนเราก็เหมือนกับเด็ก คือไม่สามารถจะรักษาตัวได้ ต้องอาศัยพ่อแม่พี่เลี้ยงคอยเกาะอยู่ตลอดเวลา เกาะคนนั้นเกาะคนนี้
ถ้าเทียบเคียงอันตรายระหว่างกิเลสกับเรา ก็เหมือนกับแม่เนื้อกับนายพราน แม่เนื้อเที่ยวหากินไป ถูกนายพรานยิงเอาๆ
ในมงคลสูตร ท่านสอนให้คบบัณฑิต อย่าคบคนพาล คนพาลก็คือหัวใจเจ้าของพาลนั่นเองเป็นอันดับแรก คือมีคนพาลภายนอก
การปฏิบัติเพื่อช่วยสังคม อันดับแรกเราต้องช่วยตัวเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ เมื่อมีกำลังทางใจแล้ว อันดับต่อไปก็ช่วยโลก
เมื่อจิตยังอยู่ในที่มืดมนด้วยกิเลสชนิดต่างๆ ปกปิดกำบัง ก็เช่นเดียวกับเราเข้าไปในป่ารกชัฏและกว้างขวาง ขณะอยู่ในป่านั้น
ความโง่ก็ดี ความฉลาดก็ดี ก็คือใจ ท่านสอนไว้ว่า “มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา” สิ่งทั้งหลายสำคัญอยู่ที่ใจ
ท่านที่ถือการฟังธรรมเป็นเนื้อเป็นหนังจริงๆ คือ ท่านนักปฏิบัติ ซึ่งเคยฟังการอบรมจากครูอาจารย์มา และฟังธรรมด้านปฏิบัติ
อกาลิกจิต อกาลิกธรรม วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2519 ความยาว 40.27 นาที สถานที่ : ศาลาโรงครัว วัดป่าบ้านตาด (ไม่มีต้นฉบับถอดความเสียง)
“จีรังถาวร” เป็นสิ่งที่โลกต้องการในส่วนที่พึงปรารถนา เช่น ความสุข เป็นต้น แต่สิ่งดังกล่าวจะหาได้ที่ไหน? เพราะในโลกนี้เต็มไปด้วย
เวลาฟังเทศน์กรุณาให้จิตอยู่กับตัว อย่าได้ส่งออกไปดูอารมณ์นั้นนี้ อย่าเสียดายอารมณ์ที่เคยคิดปรุงมาซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร
จงพยายามทำใจให้เป็นหลัก เพื่อเป็นเครื่องยึด ทำอะไรต้องให้มีหลักเกณฑ์ ให้มีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุมีผลก็หาความแน่นอนไม่ได้
จิตที่หิวธรรมและอิ่มธรรม ผิดกับความหิวและอิ่มในสิ่งทั้งหลาย คำว่า “หิวธรรม” นี่เรามาแยกออกพูด จิตมีความรักใคร่ชอบใจพอใจในธรรม
ธรรมท่านกล่าวไว้ว่า “กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก” คือ ความสงัด ๓ อย่าง เป็น ๓ ขั้น การปฏิบัติเพื่อความสงัดทั้งสามประการนี้ก็มี
ท่านอาจารย์มั่นท่านพูดเสมอ เวลาเทศน์ไปสัมผัสหรือพูดไปสัมผัส ดังที่เขียนไว้ใน “มุตโตทัย” ก็ดูเหมือนมี แต่ท่านไม่แยก
“พิธี” เช่น ฟังพอเป็นพิธี เทศน์พอเป็นพิธี อย่างนี้ทางภาคปฏิบัติไม่ได้นำมาใช้กัน สำหรับผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ไม่นำมาใช้
ท่านว่า การขาด “สติ” เพียงอย่างเดียว เป็นเหตุให้ขาดหลายๆอย่าง ถ้ามี “สติ” และ “ปัญญา” อยู่ในตัว อยู่ไหนก็เป็นความเพียร
วันนี้เป็นวันมาฆบูชา คล้ายกับวันปลงพระชนมายุสังขารของพระพุทธเจ้า ที่จะทรงลาโลกลาสงสาร หรือลาเรือนจำแห่งวัฏจักร
คำว่า “จิต” โดยปกติก็มีความละเอียดยิ่งกว่าสิ่งใดๆอยู่แล้ว แม้จะมีสิ่งละเอียดด้วยกัน ซึ่งเป็นฝ่ายต่ำฝ่ายมัวหมองปกคลุมหุ้มห่อ
การฝึกหัดอบรมในเบื้องต้น ก็ไม่ผิดอะไรกับเราไปดูต้นไม้ที่จะนำมาทำบ้านปลูกเรือน ไม้ทั้งต้นเมื่อไปดูแล้วมันอ่อนใจพิกลบอกไม่ถูก
ในหลักธรรมท่านว่า “ความยินดีในธรรม ชนะซึ่งความยินดีทั้งปวง รสแห่งธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง” คำนี้ออกมาจากท่านผู้ที่เคยได้
การที่อยากให้คนดี ไม่มีใครที่จะเกินพระพุทธเจ้าไปได้ พระโอวาทที่ประทานไว้แก่โลกก็เพื่อให้โลกเป็นคนดีกันทั้งนั้น เป็นคนดีมีความสุข